สาระน่ารู้เกี่ยวกับการใช้รถจักรยานยนต์
1.
เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ในการขับขี่รถจักรยานยนต์
หมวกกันน็อก
-
ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายต้องสวมใส่หมวกกันน็อกในขณะขับขี่รถทุกครั้ง
และหมวกกันน็อกต้องมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพมาตรฐานจาก มาตรฐานอุตสาหกรรม
(มอก.)
-
การสวมใส่หมวกกันน็อก ต้องใส่สายรัดคางให้แน่นกระชับพอดี
ไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป โดยปกติสามารถใช้นิ้วสอดเข้าไปได้
เสื้อแขนยาว
-
ควรสวมใส่เสื้อแขนยาวหรือเสื้อแจ๊กเก็ตที่มีสีสันสว่างสดใส
เพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะไกล
กางเกงขายาว
-
กางเกงควรเป็นกางเกงที่มีเนื้อผ้าที่หนา เช่น กางเกงยีนส์
ที่ไม่คับหรือหลวมเกินไป
ถุงมือ
-
ผู้ขับขี่ควรใส่ถุงมือสำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อให้กระชับในขณะขับขี่และป้องกันมิให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงที่มือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
รองเท้า
-
ควรสวมใส่รองเท้าบู๊ทหรือรองเท้าหุ้มส้นทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย
ไม่ควรสวมใส่รองเท้าแตะในการขับขี่รถเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงบริเวณรองเท้าเมื่อเกิดอุบัติเหต
ุ
การตรวจเช็ครถก่อนการขับขี่
ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจเช็ครถก่อนการขับขี่ทุกครั้ง
รถต้องอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งานอยู่ตลอดเวลา ควรสำรวจตัวรถและตรวจเช็คระบบที่สำคัญต่างๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ และเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนนอื่นๆ
น้ำมันเชื้อเพลิง
-
การขับขี่ทุกครั้งต้องแน่ใจว่า มีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงพอหรือไม่ต่อการเดินทาง
น้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่น
-
ตรวจเช็คระดับน้ำมันหล่อลื่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่น้ำมันเครื่องสกปรก
หรือครบทุกๆ 3,000 กิโลเมตร
ยาง
-
ควรตรวจเช็คแรงดันลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไป
-
ตรวจเช็คสภาพและการสึกหรอของยางอย่างสม่ำเสมอ
โซ่
-
ตรวจเช็คความตึงของโซ่ไม่ให้ตึงหรือหย่อนเกินไป (ระยะความตึงของโซ่มาตรฐานประมาณ
15-20 มิลลิเมตร)
-
ควรใช้น้ำมันหล่อลื่นสำหรับโซ่โดยเฉพาะ (ไม่ควรใช้จาระบี)
เครื่องยนต์
-
ควรตรวจเช็คการซึมของน้ำมันเครื่องที่เครื่องยนต์ว่ามีการรั่วซึมหรือไม่
เบรค
-
ตรวจเช็คการทำงานของเบรคหน้า-หลัง ว่าทำงานได้ดีหรือไม่
-
หมั่นตรวจเช็คระดับน้ำมันเบรคให้อยู่ในระดับเพียงพอ (เหนือขีด
LOWER
)
-
ตรวจเช็คระยะฟรีของคันเบรคหน้าและคันเบรคหลังให้อยู่ในระยะฟรีประมาณ
15-20
มม.
คลัทช์
-
เมื่อบีบคันคลัทช์มาด้านหลังจนสุดเช็คการทำงานของเกียร์ว่าเข้าเกียร์ได้นุ่นนวลเป็นปกติดีหรือไม่
-
เช็คระยะฟรีของคันคลัทช์ที่เหมาะสมอยู่ในระยะฟรี 10-20 มม.
ระบบไฟ
-
เช็คระบบไฟสัญญาณต่างๆ เช่นไฟหน้า,ไฟท้าย,ไฟเบรคและไฟเลี้ยวให้สามารถทำงานได้โดยปกติ
-
เช็คสัญญาณแตรให้พร้อมใช้งาน
กระจกมองหลัง
-
การปรับแต่งกระจกมองหลังให้ปรับในขณะที่รถจอดอยู่กับที่และอยู่ในท่านั่งขับขี่ที่ถูกต้อง
การปรับกระจกมองหลังต้องสามารถมองเห็นภาพที่อยู่ด้านหลังของท่านอย่างชัดเจน
ติดเครื่องยนต์
-
ควรมีการติดเครื่องยนต์ เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนการขับขี่รถจักรยานยนต์ทุกครั้ง
และเป็นการยึดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
-
ควรมีการสังเกตุจากการฟัง ว่ามีเสียงแปลกปลอมของเครื่องยนต์ในชิ้นส่วนไหนดังเกินสมควรหรือไม่
ท่าทางการขับขี่
การขึ้นรถ-ลงรถ
การขึ้นหรือลงรถทุกครั้งให้ใช้มือขวาบีบคันเบรคหน้าไว้แล้วหันมองดูด้านหลังจนแน่ใจว่า
ไม่มีรถคันอื่นตามหรือวิ่งแซงมา
เมื่อขึ้นหรือลงรถ ให้ใช้เพียงเท้าซ้ายยึดเป็นหลักให้มั่น จงจำไว้ว่า
-
อย่าหันหรือหมุนแฮนด์รถไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
-
ควรเอียงรถเข้าหาตัวผู้ขับขี่เล็กน้อย
-
ควรวางเท้าซ้ายของท่านให้มั่นคงลงบนพื้นถนน
ตำแหน่งการขับขี่
การนั่งขับขี่รถในตำแหน่งที่ถูกต้องทำให้เกิดความ
-
คล่องตัวในการควบคุมรถ
-
มีการทรงตัวที่ดี
-
ทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดี
-
ไม่เมื่อยล้าในขณะขับชี่(ไม่ควรนั่งชิดด้านหน้าหรือหลังมากเกินไป
1.
สายตา
ควรมองตรงไปข้างหน้าไม่ก้มหรือเงย
2.
หัวใหล่
วางไหล่ให้สบายๆ ไม่ยกหรือเกร็งจนเกินไป
3.
แขน
หรือศอก
ปล่อยตามธรรมชาติ ไม่กางออก
4.
มือ
จับแฮนด์ทั้งสองให้มืออยู่ระหว่างกึ่งกลางของมือจับพอดีและให้กระชับไม่แน่นหรือหลวม
เกินไป
5.
สะโพก
นั่งขับขี่รถในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการควบคุมรถ
6.
หัวเข่า
หัวเข่าเหยียดตรงไปข้างหน้าบีบกระชับให้พอดีๆ
กับถังน้ำมัน(อย่ากางเข่าออกมาด้านข้างโดยเด็ดขาด)
7.
ปลายเท้า
วางเท้าทั้งสองลงบนที่พักเท้า
ให้ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า โดยที่ปลายเท้าขวาแตะเบาๆ อยู่ที่คันเบรคหลัง
และปลายเท้าซ้ายวางไว้ที่คันเปลี่ยนเกียร์ (อย่าสอดปลายเท้าทั้งสองไว้ด้านล่างคันเปลี่ยนเกียร์และคันเบรคหลัง)
ความรู้พื้นฐานการขับขี่
การออกรถและการเร่งเครื่องยนต์อย่างนิ่มนวล
ในขณะที่กำลังจะนำรถออกมาจากขอบด้านซ้ายของถนน สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทำก็คือ
ต้องควบคุมรถได้อย่างมั่นคง และออกรถได้จังหวะสอดคล้องกับสภาพการจราจรในขณะนั้น
การออกรถ
-
เพื่อความปลอดภัย หันมองดูรอบๆ แล้วเปิดไฟสัญญาณเลี้ยวขวา
-
เลือกใช้เกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1
-
หันมองผ่านเหนือไหล่ขวาตรวจเช็คความปลอดภัยอีกครั้ง
-
เริ่มออกรถไปทางขวาช้าๆ
-
เมื่อออกรถเรียบร้อยแล้ว ให้ปิดไฟสัญญาณเลี้ยวขวา
ข้อแนะนำในการออกรถ
-
การออกรถต้องคำนึกถึงความปลอดภัยเป็นหลัก จงระมัดระวังอย่าทำให้รถคันอื่นต้องหลบหรือลดความเร็วลงในขณะที่ท่านนำรถออกจากข้างทาง
-
ระวัง! อย่าออกรถด้วยการเลี้ยวออกมาทางด้านขวาอย่างกระทันหัน
การออกรถอย่างรวดเร็วและการเร่งความเร็ว
-
หมั่นพยายามฝึกฝนหาความชำนาญในการออกรถอย่างรวดเร็ว ด้วยการบิดคันเร่งและปล่อยคลัทช์ได้อย่างรวดเร็วให้สัมพันธ์ในเวลาเดียว
จนกว่าจะเกิดความคล่องตัวในการใช้คลัทช์ได้อย่างดี เพราะบางครั้งการขับขี่รถต้องให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในช่วงเวลาการจราจรติดขัดหรือในชั่วโมงเร่งด่วน
-
ฝึกการใช้คลัทช์สลับกันไปมาเพื่อช่วยในการปรับลดความเร็วในขณะขับขี่รถเข้าทางแยกหรือหักมุมถนน
การเปลี่ยนเกียร์
การขับขี่รถจักรยานยนต์ผู้ขับขี่จะต้องรู้ว่า เมื่อไหร่ควรจะเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ที่สูงกว่า
การที่จะตัดสินใจเปลี่ยนเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ที่สูงกว่านั้น ปัจจัยขึ้นอยู่กับสภาวการณ์จราจรรอบๆตัว,ความเร็วที่กำลังใช้อยู่
และสมรรนะของเครื่องยนต์
การเปลี่ยนเกียร์รถให้ไปอยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ที่สูงกว่าโดยไม่เร่งเครื่องยนต์
อาจทำให้เครื่องยนต์เกิดการสั่นหรือกระตุก และถ้าหากการใช้เกียร์ต่ำในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง
ก็จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงและมีเสียงดังเนื่องจากเครื่องยนต์ทำงานที่ความเร็วรอบสูง
ข้อแนะนำ ควรเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมและสัมพันธ์กันกับความเร็วของรถ
ด้วยวิธีการดูอาการสั่นหรือฟังเสียงของเครื่องยนต์
วิธีเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ต่ำกว่า
-
เมื่อลดความเร็วลง
-
ขณะขับขี่บนทางสูงชัน
-
ต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคในขณะขับขี่บนถนนที่เปียกลื่นหรือขับขี่ลงเขา
การเบรค
ประโยชน์ของการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค
เพื่อลดความเร็วของรถลง
ในขณะที่เบาคันเร่ง เครื่องยนต์จะค่อยๆ ช้าลง ล้อหลังซึ่งทำงานสัมพันธ์กันกับเครื่องยนต์จะค่อยๆ
หมุนช้าลงไป ส่งผลให้ความเร็วของรถช้าลงไปด้วย การลดความเร็วของรถด้วยวิธีนี้
เรียกว่า การใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค (Engine Brake) และถ้าต้องการจะลดความเร็วของรถให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็สามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ที่ต่ำกว่า
การใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคด้วยวิธีนี้สำคัญอย่างยิ่งเมื่อต้องการจะชะลอความเร็ว
ในขณะที่ขับขี่รถเข้าไปบนถนนที่เปียกลื่น, ขณะขับขี่รถลงจากที่ลาดชัน, หรือเมื่อต้องการจะลดความเร็วของรถลงในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
อย่างไรก็ตาม จงจำไว้เสมอว่าการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคจะไม่เป็นผล
ถ้ามือซ้ายยังบีบคลัทช์อยู่
การใช้เบรคหน้าและหลังอย่างมีประสิทธิภาพ
การควบคุมให้รถหยุดอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
จงพยายามฝึกฝนเทคนิคที่จะทำให้คุณหยุดรถได้ในระยะทางสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยไม่เสียการทรงตัว
วิธีการใช้เบรคหน้า
เบรคหน้าเป็นเบรคที่มีประสิทธิภาพในการหยุดรถได้ดีกว่าเบรคหลัง การใช้เบรคหน้าสามารถกระทำได้โดยค่อยๆ
บีบคันเบรคด้วยมือขวา ถ้าปรากฎว่าล้อหน้าถูกล็อค และรถเริ่มมีอาการลื่นไถลในขณะที่ใช้เบรคหน้าให้รีบปล่อยคันเบรคทันทีแล้วค่อยๆ
ควบคุมให้ตั้งตรงเนื่องจากเบรคหน้าใช้บังคับด้วยมือจึงควบคุมได้ดีกว่าลองเริ่มเบรคเบาๆ
อย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยๆ เพิ่มแรงบีบมากขึ้นๆ จนกว่าจะหยุด
วีธีการใช้เบรคหลัง
เบรคหลังสามารถกระทำได้โดยใช้เท้าขวาเหยียบลงบนคันเบรค การใช้เบรคหลังอย่างเดียวไม่สามารถที่จะหยุดรถได้ในระยะสั้นๆ
เพราะเบรคหลังมีประสิทธิภาพในการหยุดรถได้น้อยกว่าเบรคหน้า และถ้าหากท่านใช้เบรคหลังเพียงอย่างเดียวอย่างรุนแรง
ก็จะทำให้ล้อล็อก เป็นเหตุให้รถลื่นไถลหรือล้มลงได้ พยายามใช้เบรคหลังเบาๆ
แล้วค่อยๆ เพิ่มแรงเบรคทีละน้อยๆ จนกว่ารถจะหยุด
ข้อแนะนำในการใช้เบรคอย่างถูกวิธี
1.
คืนคันเร่งแล้วใช้เบรค (วิธีนี้จะทำให้เกิดการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค)
2.
ใช้เบรคหน้าและเบรคหลังพร้อมๆ กัน (จะสามารถหยุดรถได้ด้วยระยะทางสั้นๆ
และมีประสิทธิภาพ)
3.
การใช้เบรคควรใช้ในขณะที่รถอยู่ในตำแหน่งตั้งตรง
4.
หลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างกระทันหันหรืออย่างรุนแรง
5.
การใช้เบรคด้วยวีธีย้ำเบรคก่อนหยุดรถจะช่วยหลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างรุนแรงและช่วยเตือนให้ผู้ขับขี่ด้านหลังเพิ่มความระมัดระวังขึ้นมาก
เพราะขณะที่ใช้เบรคสัญญาณไฟเบรคจะปรากฏที่ด้านหลังรถทุกครั้งที่ใช้เบรค
6.
บนพื้นผิวถนนที่เปียก ระยะทางในการหยุดรถต้องยาวกว่าพื้นถนนแห้ง
จงหลีกเลี่ยงการเบรคอย่างกระทันหันและรุนแรง เพราะจะทำให้รถเสียหลักลื่นไถลหรือล้มลงได้
การใช้เบรคบนถนนที่เปียกต้องตั้งตัวรถให้ตรงอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างรุนแรง
และควรขับขี่รถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าปกติพอสมควร
การใช้เบรค ( ตอนที่ 2 )
วีธีหยุดรถที่จุดเบรค
1.
ลดความเร็วลงก่อนถึงเป้าหมายที่จะเบรค เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เบรคหลายๆ
ครั้ง (ควรใช้เบรคหน้า เบรคหลัง และเครื่องยนต์ช่วยเบรคพร้อมๆ
กันเพื่อหยุดรถได้ตามเป้าหมายที่กำหนด)
2.
หยุดรถให้ปลายสุดของล้อหน้าสัมผัสกับจุดเบรคที่กำหนดหยุด
3.
เปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1 ก่อนที่รถจะหยุด
4.
เมื่อรถหยุดนิ่งแล้วให้ใช้เท้าซ้ายวางลงบนพื้น พร้อมกับบีบคลัทช์ด้วยมือซ้ายจนสุด
การเบรคอย่างกระทันหัน
ควรฝึกฝนการเบรคอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยใช้ระยะทางในการเบรคให้สั้นที่สุดและในกรณีที่ต้องเบรคอย่างฉุกเฉิน
เช่น คนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด หรือมีรถวิ่งตัดหน้าอย่างคาดไม่ถึง
ข้อแนะนำในการใช้เบรคอย่างกระทันหัน
1.
ควบคุมรถให้ตั้งตรง
2.
ทำการเบรครถอย่างถูกต้องตามขั้นตอน (ใช้เบรคหน้ามากกว่าเบรคหลัง
ระวังอย่าให้ล้อล๊อค)
3.
รักษาท่าทางการขับขี่ให้ถูกต้อง ในขณะที่เบรครถอย่างรวดเร็ว
-
เข่าทั้งสองหนีบชิดกับถังน้ำมัน
-
ศอกทั้งสองแนบชิดลำตัว
-
มือทั้งสองข้างจับแฮนด์ให้กระชับ งอข้อมือเล็กน้อย ลักษณะเตรียมพร้อมที่จะรับน้ำหนักตัวเอาไว้ไม่ให้ถลำไปด้านหน้า
4.
บีบคลัทช์ให้สุดก่อนที่จะหยุดรถ แล้ววางเท้าซ้ายลงบนพื้น
ทบทวนข้อปฏิบัติ
ให้ผู้ขับขี่ทำการทบทวนโดยรวมข้อปฏิบัติ เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญในการใช้รถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย
ควรตรวจสอบรายการต่อไปนี้ว่า ท่านมีความสามารถทำได้ครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่
1.
ท่าทางอารขับขี่ของท่านถูกต้องหรือไม่
2.
ท่านออกรถอย่างถูกต้องดดยปราศจากความยุ่งยากหรือไม่
3.
ท่านสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการด้วยความเรียบร้อยหรือไม่
4.
ท่านสามารถควบคุมการให้เบรคได้หรือไม่
5.
ท่านสามารถหยุดรถได้ทันท่วงทีหรือหยุดรถขณะคับขันได้อย่างง่ายดายหรือไม่
หากท่านติดขัดหรือไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้องในข้อไดข้อหนึ่ง
จงพยายามหมั่นฝึกฝนให้บ่อยครั้งในหัวข้อนั้นๆ จนกว่าท่านจะมีความรู้สึกว่าทำได้อย่างคล่องแคล่ว
และถูกต้องแล้ว
|